4 สิ่งประดิษฐ์สุดล้ำของมนุษย์ที่พวกสัตว์ใช้กันมานานแล้ว

สิ่งประดิษฐ์และการคิดค้นสิ่งของใหม่ๆ นั้นมีอยู่ทุกวัน เพราะความต้องการของมนุษย์นั้นไม่มีคำว่าหมดสิ้น ของบางอย่างตอบโจทย์เรื่องความสบาย ของบ้างอย่างถูกสร้างขึ้นเพื่อความปลอดภัย แต่ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลอะไรมนุษย์ก็คือนักประดิษฐ์อันดับ 1 ของโลก แต่เชื่อหรือไม่ ว่าความจริงแล้วสิ่งประดิษฐ์หลายๆ ที่พวกเราใช้กันนั้น พวกสัตว์ต่างๆ กลับใช้มาก่อนหน้าพวกเรานานแล้ว และนี่คือ 4 สิ่งประดิษฐ์สุดล้ำของมนุษย์ ที่พวกสัตว์ต่างใช้กันมาก่อนตั้งนานแล้ว

#1 กระดาษ (ตัวต่อ)

ตัวต่อสามารถรังจากกระดาษ ด้วยการเคี้ยวเนื้อไม้ผสมให้เข้ากันด้วยน้ำลาย ซึ่งช่วยให้เนื้อไม้อ่อนนุ่มและมีความชื้น เมื่อกลับไปถึงรังมันก็คายไม้ที่เคี้ยวไว้ออกมาและใช้ปากกับขาเกลี่ยเนื้อไม้ให้มีรูปทรงที่ต้องการ เมื่อแห้งเนื้อไม้ก็จะกลายเป็นกระดาษที่แข็งแรงและทนทาน

ตามตำนานการค้นพบกระดาษของมนุษย์ชาวจีน เขาเฝ้าดูตัวต่อทำรังหลังจากที่เขาเห็นมันผสมเนื้อไม้กับน้ำลายแล้วคลี่ให้เป็นแผ่นด้วยขาของมัน เขาจึงได้เกิดความคิดขึ้นมา เขาตระหนักว่าเมื่อแยกเนื้อไม้ออกมาแล้วผสมลอยปนอยู่ในน้ำ มันจะสร้างเส้นใยเป็นแพขึ้นมา และเมื่อเอามารีดแล้วทำให้แห้งก็จะกลายเป็นกระดาษ

ถือเป็นการค้นพบที่เปลี่ยนแปลงโลกไปทั้งใบ นับตั้งแต่นั้นมากระบวนการดังกล่าวก็ได้รับการพัฒนาเป็นลำดับขั้นตอนอย่างต่อเนื่อง และในตอนนี้ต้นไม้หนึ่งต้นสามารถผลิตกระดาษได้ประมาณ 80,000 แผ่น ตัวต่อทำกระดาษเพื่อใช้สร้างรังมาหลายล้านปีแล้ว ส่วนมนุษย์เราเพิ่งจะคิดวิธีทำกระดาษเมื่อไม่กี่ร้อยปีนี่เอง

#2 สัญญาณเสียงโซน่าร์ (โลมา)

ปี 1912 เรือไททานิคคือเรือขนาดใหญ่สุดเท่าที่เคยสร้างขึ้นมา มันมีใบพัดขนาดใหญ่กว่าบ้าน เครื่องยนต์ที่สูงกว่าตึกสี่ชั้น ในสมัยนั้นมันอลังการมากและเชื่อว่ามันเป็นเรือที่จะไม่มีวันจม แต่แล้วระหว่างการเดินทางมันก็ชนเข้ากับก้อนน้ำแข็ง เพียงแค่สามชั่วโมง เรือขนาดใหญ่ที่สุดเท่าที่เคยสร้างมาก็จมลงสู่ก้นทะเล

ก่อนหน้าหายนะในครั้งนั้นวิธีเดียวที่ใช้ตรวจจับก้อนน้ำแข็งในทะเลก็คือการส่องกล้องจากทางด้านหน้าเรือ แต่หลังจากเหตุการ์เรือไททานิคล่มอับปางลง นักประดิษฐ์ก็เร่งทำการค้นหาวิธีที่ดีกว่านี้ และต่อมาพวกเขาได้พัฒนาวิธีการตรวจจับก้อนน้ำแข็งด้วยการส่งสัญญาณเสียง เรียกว่าระบบนำวิถีด้วยเสียงหรือสัญญาณเสียงโซน่าร์ เป็นสิ่งประดิษฐ์ที่ยอดเยี่ยมมาก แต่ระบบแบบนี้ปลาโลมาใช้มานานหลายล้านปีแล้ว

โลมาที่สัตว์ที่ไม่มีปัญหาใดๆ ในการเดินทางยามค่ำคืนหรือในสภาพน้ำขุ่น เพราะมันใช้เสียงในการสร้างภาพของสิ่งแวดล้อมต่างๆ รอบตัวมัน นอกจากการส่งเสียงร้องเป็นระยะๆ ที่เราเองก็ได้ยินแล้ว โลมายังส่งคลื่นความถี่ที่มนุษย์ไม่ได้ยิน นั่นคือคลื่นเสียงอัลตร้าโซนิคที่ใช้ตรวจจับ ขนาด รูปทรง และความเร็วของวัตถุในน้ำ

#3 อินฟราเรด (แมลงเมลาโนฟิลล่า)

มันเป็นสัตว์ที่พบได้ในใจกลางของเปลวเพลิง ในขณะที่สัตว์ส่วนใหญ่หนีไฟป่า แต่แมลงเมลาโนฟิลล่า (Melanophilla) จะเข้าหาไฟในระยะรัศมี 50 ไมล์ พวกมันมองหาแหล่งเดียวที่พวกมันจะแพร่พันธุ์ได้ นั่นก็คือซากต้นไม้ที่ไหม้ไฟใหม่ๆ ซึ่งเป็นสนามรักชั้นดี เพราะว่าสัตว์นักล่าอื่นๆ นั้นจะหนีไฟไปกันหมด และตัวเมียก็จะวางไข่ได้โดยปลอดภัยตามซากต้นไม้นั่นแหละ

มีการประมาณการว่าแค่ในสหรัฐอเมริกาที่เดียวมีการใช้เงินมากกว่าสองพันล้านดอลล่าห์ในการที่จะดับไฟป่า เทคนิคก็คือต้องไปถึงไฟให้เร็วที่สุด ในขณะที่ยังเป็นกองเพลิงขนาดเล็ก มันจะเป็นเรื่องง่ายไปเลยถ้าเรามีอุปกรณ์เหมือนกับแมลงเมลาโนฟิลล่ามี นั่นก็คือเครื่องติดตามรังสีอินฟราเรด

#4 ถุงลมนิรภัย (นกแกนเน็ต)

รถยนต์เป็นสิ่งประดิษฐ์ที่สำคัญ แต่มันก็ส่งผลตามมาก็คือการเกิดอุบัติเหตุอย่างรถชน การกระแทกที่เกิดจากความเร็วสูง และนั่นเป็นเหตุผลที่ในปี 1971 บริษัทรถยนต์ฟอร์ดได้ติดตั้งเครื่องรับแรงกระแทกในการทดลองเมื่อเกิดอุบัติเหตุ

นั่นคือถุงลมนิรภัยที่สามารถพองตัวได้ในเศษหนึ่งส่วนพันวินาทีหรือเวลาครึ่งนึงของการกระพริบตา จากการสำรวจพบว่าถุงลมนิรภัยสามารถลดอาการบาดเจ็บที่ศรีษะได้มากถึง 75%

สำหรับสัตว์ที่ต้องพุ่งชนและกระแทกกับน้ำทะเลเป็นประจำ ด้วยความเร็วมากกว่า 90 ไมล์ต่อชั่วโมงอย่างนกแกนเน็ตนั้นก็มีการเทคนิคในการป้องกันอาการบาดเจ็บเช่นกัน โดยก่อนที่จะลงกระแทกน้ำมันจะหายใจลึกๆ เพื่อขยายถุงลมใต้ผิวหนัง ทั้งบนหน้าผากและหน้าอก เบาะพวกนี้จะช่วยซับแรงกระแทกได้เหมือนกับถุงลมนิรภัยในรถยนต์ เบาะพิเศษประจำตัวของมันนี้ช่วยให้รอดชีวิตจากการพุ่งลงน้ำจากที่สูงที่ส่งผลให้น้ำกระจายได้ถึง 10 ฟุตขึ้นไปบนอากาศ